tag:blogger.com,1999:blog-9519505611897374422024-03-12T19:57:23.155-07:00ผลงานเทคโนโลยีสารสนเทศสำหรับครูAnonymoushttp://www.blogger.com/profile/02199438509760294299noreply@blogger.comBlogger3125tag:blogger.com,1999:blog-951950561189737442.post-32885484817375637222012-09-03T21:37:00.000-07:002012-09-03T21:37:06.312-07:00ประวัติวัน Halloween<span style="color: black;">วันฮาโลวีน เป็นงานฉลองในคืนวันที่ </span><a href="http://th.wikipedia.org/wiki/31_%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%A1" title="31 ตุลาคม"><span style="color: black;">31 ตุลาคม</span></a><span style="color: black;"> ประเทศทางตะวันตก เด็กๆ จะแต่งกายเป็นภูตผีปีศาจพากันชักชวนเพื่อนฝูงออกไปงานฉลอง มีการประดับประดาแสงไฟ และที่สำคัญคือแกะสลัก</span><a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9F%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%87" title="ฟักทอง"><span style="color: black;">ฟักทอง</span></a><span style="color: black;">เป็นโคมไฟ เรียกว่า </span><a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%95%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B8%9F%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%87" title="ตะเกียงฟักทอง"><span style="color: black;">แจ๊ก-โอ'-แลนเทิร์น</span></a><span style="color: black;"> (jack-o'-lantern)</span><br />
<span style="color: black;">การฉลองวันฮาโลวีนนิยมจัดกันใน</span><a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B2" title="สหรัฐอเมริกา"><span style="color: black;">สหรัฐอเมริกา</span></a><span style="color: black;"> </span><a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B9%84%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B9%8C" title="ประเทศไอร์แลนด์"><span style="color: black;">ไอร์แลนด์</span></a><span style="color: black;"> </span><a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%93%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3" title="สหราชอาณาจักร"><span style="color: black;">สหราชอาณาจักร</span></a><span style="color: black;"> </span><a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B9%81%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%B2" title="ประเทศแคนาดา"><span style="color: black;">แคนาดา</span></a><span style="color: black;"> และยังมีใน</span><a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B8%A2" title="ประเทศออสเตรเลีย"><span style="color: black;">ออสเตรเลีย</span></a><span style="color: black;"> กับ</span><a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%8B%E0%B8%B5%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B9%8C" title="ประเทศนิวซีแลนด์"><span style="color: black;">นิวซีแลนด์</span></a><span style="color: black;">ด้วย รวมถึงประเทศอื่นใน</span><a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%97%E0%B8%A7%E0%B8%B5%E0%B8%9B%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%9B" title="ทวีปยุโรป"><span style="color: black;">ทวีปยุโรป</span></a><span style="color: black;">ก็นิยมจัดงานวันฮาโลวีนเพื่อความสนุกสนาน</span><br />
<span style="color: black;">ส่วนตำนานที่เกี่ยวกับ<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9F%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%87" title="ฟักทอง">ฟักทอง</a>นั้น เป็นตำนานพื้นบ้านของชาวไอริช ที่กล่าวถึง แจ๊คจอมตืด ซึ่งเป็นนักเล่นกลจอมขี้เมา วันหนึ่งเขาหลอกล่อปีศาจขึ้นไปบนต้นไม้ และเขียนกากบาทไว้ที่โคนต้นไม้ ทำให้ปีศาจลงมาไม่ได้ จากนั้นเขาได้ทำข้อตกลงกับปีศาจ 'ห้ามนำสิ่งไม่ดีมาหลอกล่อเขาอีก' แล้วเขาจะปล่อยปีศาจลงจากต้นไม้ เมื่อแจ็คตายลง เขาปฏิเสธที่จะขึ้นสวรรค์ ขณะเดียวกันปฏิเสธที่จะลงนรก ปีศาจจึงให้ถ่านที่กำลังคุแก่เขา เพื่อเอาไว้ปัดเป่าความหนาวเย็นท่ามกลางความมืดมิด และแจ็คได้นำถ่านนี้ใส่ไว้ในหัวผักกาดเทอนิพที่ถูกเจาะให้กลวง เพื่อให้ไฟลุกโชติช่วงได้นานขึ้น ชาวไอริชจึงแกะสลักหัวผักกาดเทอนิพ และใส่ไฟในด้านใน อันเป็นอีกสัญลักษณ์ของวันฮาโลวีน เพื่อระลึกถึง 'การหยุดยั้งความชั่ว' Trick or Treat เพื่อส่งผลบุญให้กับญาติผู้ล่วงลับ และพิธีทางศาสนาเพื่อทำบุญวันปีใหม่ แต่เมื่อมีการฉลองฮาโลวีนในสหรัฐอเมริกา ชาวอเมริกาพบว่า ฟักทองหาง่ายกว่าหัวผักกาดมาก จึงเปลี่ยนมาใช้ฟักทองแทน หัวผักกาดจึงกลายเป็นฟักทองด้วยเหตุผลฉะนี้<br />
ประเพณีทริกออร์ทรีต ในสหรัฐอเมริกาคือการละเล่นอย่างหนึ่งที่เด็กๆ เฝ้ารอคอย ในวันฮาโลวีนตามบ้านเรือนจะตกแต่งด้วยโคมไฟฟักทองและตุ๊กตาหุ่นฟางที่เป็นส่วนหนึ่งของ<a class="new" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%93%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B9%87%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7&action=edit&redlink=1" title="เทศกาลประเพณีเก็บเกี่ยว (หน้านี้ไม่มี)">เทศกาลประเพณีเก็บเกี่ยว</a> (Harvest) ในช่วงเดียวกันนั้น แต่ละบ้านจะเตรียมขนมหวานที่ทำเป็นรูปเม็ดข้าวโพดสีขาวเหลืองส้มในเม็ดเดียวกัน เรียกว่า Corn Candy และขนมอื่นๆไว้เตรียมคอยท่า ส่วนเด็กๆ ในละแวกบ้านก็จะ<a class="new" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B9%81%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B9%81%E0%B8%9F%E0%B8%99%E0%B8%8B%E0%B8%B5&action=edit&redlink=1" title="แต่งตัวแฟนซี (หน้านี้ไม่มี)">แต่งตัวแฟนซี</a>เป็นภูตผีมาเคาะตามประตูบ้าน โดยเน้นบ้านที่มีโคมไฟฟักทองประดับ (เพราะมีความหมายโดยนัยว่าต้อนรับพวกเขา) พร้อมกับถามว่า "Trick or treat?" เจ้าของบ้านมีสิทธิที่จะตอบ treat ด้วยการยอมแพ้ มอบขนมหวานให้ภูตผี(เด็ก)เหล่านั้น ราวกับว่าช่างน่ากลัวเหลือเกิน หรือเลือกตอบ trick เพื่อท้าทายให้ภูตผีเหล่านั้นอาละวาด ซึ่งก็อาจเป็นอะไรได้ ตั้งแต่แลบลิ้นปลิ้นตาหลอกหลอน ไปจนถึงขั้นทำลายข้าวของเล็กๆ น้อยๆ แล้วอาจจบลงด้วยการ treat เด็กๆ ได้ขนมในที่สุด</span>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/02199438509760294299noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-951950561189737442.post-29839055540781607182012-09-03T06:53:00.005-07:002012-09-03T06:53:27.315-07:009 วิธีการบำรุงสมอง1. จิบน้ำบ่อยๆ สมองประกอบด้วยน้ำ 85
เปอร์เซ็นต์<br />เซลล์สมองก็เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง ถ้าไม่มีน้ำ
ต้นไม้ก็เหี่ยว ถ้าไม่อยากให้เซลล์สมองเหี่ยว ซึ่งส่งผลให้การส่งข้อมูลช้า
กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดไม่ค่อยออก แต่ละวันจึงควรดื่มน้ำบ่อยๆ ( อืมม …. มิน่า
กินน้ำน้อย รู้สึกโง่ๆ) <br /><br />2. กินไขมันดี คนไม่ค่อยรู้ว่าสมองคือก้อนไขมัน
<br />ซึ่งจำเป็นต้องมีไขมันดีไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ แนะนำให้กินไขมันดีระหว่างวัน
จำพวกน้ำมันปลา สารสกัดใบแปะก๊วย<br />ปลาที่มีไขมันดีอย่างปลาแซลมอน นมถั่วเหลือง
วิตามินรวม น้ำมันพริมโรสเป็นน้ำมันดีที่ทำให้เซลล์ชุ่มน้ำ
ส่วนวิตามินซีกินแล้วสดชื่น<br /><br />3. นั่งสมาธิวันละ 12 นาที
<br />หลังจากตื่นนอนแล้ว ให้ตั้งสติและนั่งสมาธิทุกเช้า วันละ 12
นาที<br />เพื่อให้สมองเข้าสู่ช่วงที่มีคลื่น Theta ซึ่งเป็นคลื่นที่ผ่อนคลายสุดๆ
ทำให้สมองมี Mental Imagery สามารถจินตนาการเห็นภาพและมีความคิดสร้างสรรค์
(ถ้าทำไม่ได้ตอนเช้า ให้หัดทำก่อนนอนทุกวัน)<br /><br />4.
ใส่ความตั้งใจ<br />การตั้งใจในสิ่งใดก็ตาม
เหมือนการโปรแกรมสมองว่านี่คือสิ่งที่ต้องเกิด
ระหว่างวันสมองจะปรับพฤติกรรมเราให้ไปสู่เป้าหมายนั้น
ทำให้ประสบความสำเร็จในสิ่งต่างๆ
เพราะสมองไม่แยกระหว่างสิ่งที่ทำจริงกับสิ่งที่เกิดขึ้น
ทั้งสองอย่างจึงเป็นเสมือนสิ่งเดียวกัน<br /><br />5.
หัวเราะและยิ้มบ่อยๆ<br />ทุกครั้งที่ยิ้มหรือหัวเราะ จะมีสารเอนเดอร์ฟิน
ซึ่งเป็นสารแห่งความสุขหลั่งออกมาเท่ากับเป็นการกระตุ้นให้มีความอยากรักและหวังดีต่อคนอื่นไปเรื่อยๆ<br /><br />6.
เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน<br />สิ่งใหม่ในที่นี้หมายถึงสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน
เช่น กินอาหารร้านใหม่ๆ รู้จักเพื่อนใหม่ อ่านหนังสือเล่มใหม่
คุยกับเพื่อนร่วมงานและเรียนรู้วิธีการทำงานของเขา
ฯลฯเพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่ทำให้สมองหลั่งสารเอนเดอร์ฟินและโดปามีนซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้
กระตุ้นให้อยากเรียนรู้และสร้างสรรค์ไปเรื่อยๆ
เมื่อมีความสุขก็ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์<br /><br />7.
ให้อภัยตัวเองทุกวัน<br />ขณะที่การไม่ให้อภัยตัวเอง โกรธคนอื่น โกรธตัวเอง
ทำให้เปลืองพลังงานสมอง การให้อภัยตัวเองเป็นการลดภาระของสมอง<br /><br />8.
เขียนบันทึก Graceful Journal <br />ฝึกเขียนขอบคุณสิ่งดีๆ ที่
เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึก เช่น ขอบคุณที่มีครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีสุขภาพดี
ขอบคุณที่มีอาชีพที่ทำให้มีความสุข ฯลฯ เพราะการเขียนเรื่องดีๆ ทำให้สมองคิดเชิงบวก
พร้อมกับหลั่งสารเคมีที่ดีออกมา ช่วยให้หลับฝันดี ตื่นมาทำสมาธิได้ง่าย
มีความคิดสร้างสรรค์<br /><br />และ <br />9. ฝึกหายใจลึกๆ<br />! สมองใช้ออกซิเจน 20-25
เปอร์เซ็นต์ของออกซิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจเข้าลึกๆ
จึงเป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมอง
ควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น ถ้านั่งทำงานนานๆ
อาจหาเวลายืนหรือเดินยืดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอด ขยายใหญ่
สามารถหายใจเอาออกซิเจนเข้าปอดได้เพิ่มขึ้นอีก 20 เปอร์เซ็นต์Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/02199438509760294299noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-951950561189737442.post-34303082940963769992012-07-30T21:10:00.003-07:002012-07-30T21:10:59.035-07:00Me myself........<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<iframe allowfullscreen='allowfullscreen' webkitallowfullscreen='webkitallowfullscreen' mozallowfullscreen='mozallowfullscreen' width='320' height='266' src='https://www.youtube.com/embed/2H5885DDUhg?feature=player_embedded' frameborder='0'></iframe></div>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/02199438509760294299noreply@blogger.com0